ความแตกแยกของชาติอิสราเอล

 

พระเจ้าสะโลโมน

 

1.      ก่อนที่จะสวรรคต  กษัตริย์ดาวิดได้อภิเษกสะโลโม

ราชบุตรของพระองค์  ให้เสวยราชย์สืบแทนต่อไป

คราวนี้พระเจ้าสะโลโมน ทรงขึ้นปกครองชนชาติอิสราเอลทรงมีพระชนม์มายุเพียง 17 พรรษา พระผู้เป็นเจ้าตรัสถามท่านว่าท่านชอบสิ่งใดจงขอจากพระองค์เถิด  และพระเจ้าสะโลโมน แทนที่จะทูลขอเงินหรือขอของแผ่นดิน  ทรงขอพระปรีชาเพื่อจะสามารถปกครองแผ่นดินอย่างดี  พระเจ้าสะโลโมน  ได้แสดงพระปรีชาเฉลียวฉลาดในการพิพากษา เป็นต้น

 

2.      วันหนึ่ง  มีมารดาสองคนไปทูลเกล้าถวายฎีกา  คดีต่าง

แย่งกรรมสิทธิ์บุตรของตน  โดยต่างฝ่ายต่างอ้างว่าเด็กที่มีชีวิตอยู่คนนั้นเป็นบุตรของตน  จึงไม่มีใครรู้ว่าคนไหนเป็นมารดาแท้

พระเจ้าสะโลโมน  ทรงแกล้งรับสั่งให้ตัดร่างเด็ก

ออกเป็นสองท่อน  ให้มารดาสองคนๆ ละท่อน  มารดาคนหนึ่งวอนขอชีวิตเด็กไว้ และยอมให้อีกคนหนึ่งเอาเด็กไปทั้งตัว  พระเจ้าสะโลโมนจึงทรงทราบได้ว่าใครเป็นมารดาแท้หรือไม่แท้  โดยประการเช่นนี้  และทรงตัดสินมอบเด็กให้  แก่มารดาที่ไม่ยอมให้เด็กถูกตัดเป็นสองท่อนเพระเป็นมารดาแท้

 

3.      กิจกรรมอันใหญ่หลวงของพระเจ้าสะโลโมน  คือการสร้างพระมหาวิหาร  ณ กรุงเยรูซาเล็ม  แต่เสียดาย

ยิ่งนักที่พระเจ้าสะโลโมนไม่ได้ซื่อสัตย์ต่อพระผู้เป็นเจ้าตลอดไป

กษัตริย์สะโลโมนได้ผูกไมตรีคบหาสมาคมกับคนต่างศาสนาจนถึงกับส่งเสริมศาสนาของเขาและนำ

       ศาสนาเท็จเทียมเข้าสู่ชนชาติอิสราเอล  อันเป็นตัวอย่างไม่ดีทั่วไป  และพระผู้เป็นเจ้ารับสั่งว่า “จงแบ่งแยก         

      บ้านเมืองเป็นสองส่วน  และจะมอบให้แด่คนใช้”

 

       

รัฐอิสราเอล  แยกเป็นสองรัฐ

 

4.      เรโหโบอัม  ราชโอรสของ สะโลโมน  ได้เสวยราชย์สืบต่อมา  ในต้นรัชกาลนี้  ชาวอิสราเอลสิบตระกูลคิดขบถเว้นแต่ตระกูลยูดาและตระกูลเบนยามิน  สองตระกูลเท่านั้นที่ยังคงสวามิภักดิ์ต่อกษัตริย์  เรโหโบอัม  ฉะนี้ ชนชาติอิสราเอลเดิมจึงต้องแยกกันอยู่เป็นสองรัฐ   คือรัฐอิสราเอลสิบตระกูลอยู่ภาคเหนือและรัฐยูดาคือตระกูลยูดาและเบนยามิน  อยู่ในภาคใต้รัฐอิสราเอล

 

5.      กษัตริย์ผู้ปกครองชาวอิสราเอล  แทบทุกพระองค์ล้วนมีพระอัธยาสัยไม่ดี  โดยทรงนำพลเมืองให้เคารพบูชารูปต่างๆ เป็นสรณะ  ในศตวรรษที่แปด ก่อนคริสตศักราช พระผู้เป็นเจ้าทรงลงพระอาญาแก่ชาวอิสราเอลตั้งแต่กษัตริย์ ตลอดลงไปจนถึงพลเมือง คือ ให้ชาวอัสสิเรียยกมารุกรานจับไปเป็นเชลยหมดทั้งชาติ  และให้กระจายกันอยู่ทั่วประเทศอัสสิเรีย  ส่วนรัฐอิสราเอลนั้นให้คนต่างศาสนาเข้ามาอยู่  ซึ่งในสมัยต่อมา  ไม่ได้กลับเข้าไปอยู่ในภูมิประเทศเดิมอีกเลย  จึงได้ชื่อว่าสิบตระกูลพินาศ

 

รัฐยูดา

 

6.      กษัตริย์ครองรัฐยูดาสืบต่อมา  บางพระองค์ ทรงประพฤติดีงาม  บางพระองค์ก็ทรงประพฤติเลวทราม  ครั้นถึงสมัยต้นศตวรรษที่หกก่อนคริสตศักราช  พระผู้เป็นเจ้า  ทรงบันดาลให้กษัตริย์เนบุคัดเยสซาร์แห่งแคว้นบาบิโลน  ยกกองทัพเข้ายึดนครเยรูซาเล็ม ทำลายบ้านเมืองและพระวิหารซึ่งกษัตริย์สะโลโมน ทรงสร้างไว้  ทั้งกวาดต้อนพลเมืองไปเป็นเชลยใน กรุงบาบิโลน

 

บุรุษตัวอย่าง

โทบิอัส

 

1.โทบิอัส  เป็นชาวอิสราเอลคนหนึ่งที่ถูกจับไปเป็นเชลยอยู่ในประเทศอัสสิเรีย เป็นผู้ที่ศรัทธาถือตามพระบัญญัติ  พระผู้เป็นเจ้า ใคร่จะทดลองโทบิอัสว่าจะมีความอดทนและความเพียรสักเพียงใด จึงทรงบันดาลให้ตาบอดทั้งสองข้าง  ขณะที่ท่านกำลังนอนอยู่นอกชานบ้าน และนกกระจอกปล่อยมูลลงมาที่ตามทำให้ตาบอด  ในกาลต่อมา โทบิอัส  คิดว่าตนจะถึงความตาย  ในไม่ช้า จึงใช้ให้บุตรชื่อโทบิอัลน้อย  ไปทวงเงินคาเบลุสผู้เป็นหนี้  อยู่ที่แคว้นชาวเมดี เป็นจำนวนเงินสิบตะเลนตา  โทบิอัลน้อยเที่ยวหาผู้นำทาง  ก็พบเทวดาราฟาเอลซึ่งเนรมิตลงมารับอาสาเป็นผู้นำ  โดยที่โทบิอัสน้อยได้ลงล้างมือล้างเท้า  ทันใดมีปลาตัวใหญ่โผล่ออกมาจะกัด โทบิอัสสะดุ้งและวอนขอให้ผู้นำช่วย  ผู้นำทางสั่งให้จับปลาตัวนั้นฆ่าเสียแล้วให้เอาดีและม้ามไปเป็นยา เมื่อถึงที่แล้ว  พบคนหนึ่งมีผีมารบกวน โทบิอัสน้อยได้อธิฐานภาวนาด้วยกันสามวันสามคืนและฝีปีศาจหนีไปอย่างเด็ดขาด

 

 

2. เมื่อกลับถึงบ้าน  เทวดาสั่งให้โทบิอัสน้อย เอาดีและม้ามของปลามาทาตามตาของบิดา  และบิดากลับมีสายตาดีเป็นปกติดังเดิม

        ในที่สุด โทบิอัสอยากแบ่งมรดกครึ่งหนึ่งให้แก่ผู้นำทางแต่เทวดาแสดงตัวว่า “ เราคือเทวดาของพระผู้เป็นเจ้า  พระองค์ทรงใช้เรามาเพื่อแสดงว่าพระองค์ได้ฟังคำภาวนาของผู้ชอบธรรม  เวลาเธอฝังศพผู้ตายที่ไร้ญาติ  พระผู้เป็นเจ้าทรงเห็น และเนื่องด้วยเป็นที่พอพระทัย  พระองค์จึงจำเป็นให้มีการผจญเพื่อทดลองท่าน

 

 

 

มหาบุรุษโย็บ

 

1.      มหาบุรุษโย็บอยู่ในแคว้นหุสแห่งประเทศอารับ ไม่มีเชื้อสายอิสราเอล  แต่เป็นผู้นับถือพระผู้เป็นเจ้าแน่วแน่ด้วยความเลื่อมใสยิ่งนัก และเป็นผู้บริบูรณ์ด้วยสมบัติ  พระเจ้าใคร่จะทรงทดลองความมั่นคงในความจงรักภักดี  ของโย็บ

ให้ปรากฏแก่ประชาชนทั่วไป  จึงทรงอนุญาตให้ผีปีศาจมาทำร้ายท่านด้วยประการต่างๆ เช่น ทำให้บุตรตายหมด  ทำให้ทรัพย์สมบัติต้องพินาศล่มจม และทำให้ร่างกายมีโรคพยาธิพิการทั้งตัว ถึงแม้ว่าต้องผจญภัยดังนี้ มหาบุรุษโย็บ ก็คงมีความเชื่อถืออย่างมั่นคงในพระผู้เป็นเจ้า  และมีความเพียรอดทนเป็นที่ยิ่ง  และถึงแม้ว่าจะถูกภรรยาเยาะเย้ยและเพื่อนบ้านติเตียนสักเท่าใด  ก็ไม่หวั่นไหว

 

2.      มหาบุรุษโย็บ  เคยพูดเสมอว่า “สิ่งทั้งปวงมาแต่พระเจ้าประทาน  เมื่อพระองค์ทรงเรียกคืน ก็ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัย  ข้าฯ ขอสนองพระเดชพระคุณทุกประการ  เราพอใจรับคุณความดีที่พระองค์ประทานให้ ก็ไฉนเล่าจะไม่พอใจรับภัย  ซึ่งแล้วแต่พระองค์จะโปรดบันดาลให้เป็นขึ้น”  ในที่สุด  พระผู้เป็นเจ้าทรงโปรดให้มหาบุรุษโย็บหายจากโรคภัยเป็นปกติ  ทั้งทรงอวยพระพรให้กับครอบครัวมีความผาสุกเหมือนเดิม  และให้ร่ำรวยทรัพย์สินยิ่งกว่าก่อน

 

ประภาษก (ผู้ประกาศพระโอวาท)

 

เหตุภัยอันตราย  ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าทรงโปรดให้ชาวอิสราเอลต้องรับทุกข์เวทนาต่าง ๆ ก็เพราะพวกเขาไม่ถือตามคำสัตย์ปฏิญาณที่ได้ถวายไว้แต่เดิม แต่พระองค์ทรงดลใจประภาษก ( ผู้ประกาศพระโอวาท) หลายคนแห่งสมัยต่างๆ ให้ติเตียนและชี้แจงแสดงโทษอันพึงจะต้องรับหากว่าไม่กลับใจ และประภาษกเหล่านั้นยังได้ทำนายไว้ว่า “พระผู้เป็นเจ้า  จะทรงโปรดให้พระผู้ไถ่เสด็จลงมา  พระมหาไถ่พระองค์นั้น  จะทรงมีชัยแก่ศัตรูคือปีศาจ และจะเผยแผ่พระศาสนาจักรของพระองค์ไปจนทั่วพิภพ”  ประภาษกที่มีเกียรติคุณเลื่องลือในยุคก่อน คือ เอลียาห์,เอลีซาห์,อิสยาห์,เยเรมีห์,เอเสเคียล ฯลฯ

 

      ประภาษก (ผู้ประกาศพระโอวาท)  ในกาลสมัยต่างๆ แต่ละคนทำนายไว้ว่า

 

1.      พระผู้ไถ่ จะทรงถือกำเนิดในตระกูลยูดาแห่งราชวงศ์ดาวิด

2.      พระผู้ไถ่  จะทรงถือกำเนิดแต่นางพรหมจารีองค์หนึ่งที่ตำบลเบธเลเฮม

3.      พระผู้ไถ่ จะทรงรับทุกข์ทรมานทางพระกายอย่างสาหัส พระหัตถ์และพระบาทจะต้องถูกเจาะทะลุด้วยตาปู

4.      พระผู้ไถ่ จะทรงตั้งศาสนจักรของพระองค์ขึ้นใหม่ อันจะถาวรอยู่จนสิ้นพิภพ

และข้อความอื่นๆ อีกมาก ทั้งนี้ ชาวอิสราเอล หลงเข้าใจว่า พระผู้ไถ่ซึ่งจะเกิดมานั้น จะเป็นมนุษย์เหมือนคนธรรมดาแต่ประกอบด้วยคุณสมบัติพิเศษอย่างน่าอัศจรรย์  พระองค์จะเป็นศาสดาที่สำแดงอิทธิปาฎิหารย์ทำนายเหตุการณ์ในอนาคต  และจะทรงเป็นกษัตริย์ของชาวอิสราเอลสืบเนื่องมาแต่ราชวงศ์ดาวิด  ในส่วนที่ทรงเป็นกษัตริย์  พระองค์ทรงรื้อฟื้นและเผยแผ่อาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า  ทั้งนี้ ชาวอิสราเอล  เข้าใจเสียก่อนแล้ว  ชัยชนะของพระเจ้า  ก็เป็นชัยชนะของชาวอิสราเอลด้วยเหมือนกัน  ฉะนั้น  ในส่วนการทำนายของอิสยาห์  ซึ่งกล่าวถึงความทรมานและความตายของพระผู้ไถ่ ชาวอิสราเอลจึงไม่พยายามทำความเข้าใจ  กลับเห็นเป็นที่รังเกียจในการที่พระองค์จะต้องทนทุกข์ทรมาน  เพื่อไถ่โทษบาปมนุษย์ชาติที่ติดมาแต่กำเนิด

 

ดาเนียล

 

1.      ประภาษก ดาเนียล เป็นชาวยูดา  ซึ่งถูกจับไปเป็นเชลยอยู่ในบาบิโลน  กษัตริย์เนบุคัดเนสซาร์  มีพระบรมราชโองการให้คัดเลือกดาเนียลและสหายอีกสามคน  คือ  อานาเนีย , มิชาเอล,อาชาริยาห์ ไปรับราชการพิเศษ  แต่ทรงพอพระทัยในดาเนียลเป็นอันมาก เพราะเป็นผู้มีฤทธิ์กุศล  ทั้งสามารถทูลอธิบายความในพระสุบินของพระองค์ได้  แม้ทรงฝันแล้วลืมเสียด้วย

 

2.      กษัตริย์เนบุคัดเนสซาร์  ทรงมีพระบรมราชโองการให้สร้างรูปบูชาด้วยทองคำรูปหนึ่ง เพื่อให้ประชาชนพลเมืองทั่วไปนมัสการรูปนั้น แต่อานาเนีย  ,มิชาเอล,และอาซาริยาห์ ไม่ยอมนมัสการ  พระองค์จึงทรงพระพิโรธ  และให้นำตัวทั้งสามคนไปทิ้งในเตาไฟที่กำลังร้อนเต็มที่ แต่ทั้งสามคน  หาเป็นอันตรายไม่กลับเดินไปมาและรับร้องสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า  ทั้งนี้ด้วยเดชะพระบารมีปกป้องรักษา  ให้มีเทวดาลงมาป้องกันภัยนั้น

 

3.      ดาริอัส  ผู้ปกครองบาบิโลนแทน  กษัตริย์สิราห์แห่งเปอร์เซีย  ก็ทรงพอพระทัยในกิจการของดาเนียล  เหมือนกันกระนั้นก็ดี  ดาเนียล ยังไม่พ้นจากความบีบคั้นให้เคารพบูชารูปทองคำ นั้น มีผู้ทูลพระราชาธิบดีว่า ดาเนียลถวายนมัสการพระเจ้าที่ตนเคยเคารพบูชา  เป็นการฝ่าฝืนพระบรมราชโองการ  ดาเนียลจึงต้องราชอาญา  ให้นำตัวไปทิ้งในที่ขังสิงโตหลายตัว แต่ด้วยเดชะพระบารมีปกป้อง  ดาเนียลมิได้รับอันตรายจากสัตว์ร้ายนั้นเลย

ชาวยูดา  กลับเข้าบ้านเมืองของตน

 

1.      เมื่อชาวยูดา ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยอยู่ในบาบิโลนเป็นเวลาเจ็ดสิบปี  สมตามคำทำนายของประภาษกเยเรมีห์แล้วพระผู้เป็นเจ้า ทรงโปรดดลใจกษัตริย์สิราห์  ให้ออกกฎหมายปล่อยชาวยูดาเป็นไท  ใครอยากจะกลับบ้านเมืองของตนก็ให้กลับได้ เศรุบบาเบลจึงนำชาวยูดากลับเข้ากรุงเยรูซาเล็ม ในปี 538 ก่อนคริสตศักราช  จำเดิมแต่นั้นมา ชาวยูดาได้สร้างพระวิหารขึ้นใหม่มีประภาษก  อาคีช และประภาษก คาเรียล เป็นต้น เป็นผู้สนับสนุนและต่อมา เนหะมีย์ ก็ได้สร้างกรุงเยรูซาเล็มขึ้นใหม่  โดยมีกำแพงนครล้อมรอบเป็นขอบเขต

 

มัคคะบี

 

1.      ชาวยูดา  กลับมาอยู่บ้านเมืองเดิม เป็นไทแก่ตนเองแล้วกลับมีความเชื่อถือพระผู้เป็นเจ้าอย่างเคร่งครัดยิ่งกว่าแต่ก่อน  ประพฤติตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายของตน และยกย่องพระสังฆราชขึ้นเป็นหัวหน้าของตนด้วย  แต่ยังคงเป็นเมืองขึ้นของเปอร์เซียบางคราวก็ตกไปเป็นของซีเรีย  และบางสมัยก็ขึ้นต่ออียิปต์ สุดแต่ว่ากษัตริย์ประเทศใดมีชัยชนะในการรบซึ่งกันและกัน  กษัตริย์บางองค์ทรงโปรดให้ชาวยูดา ได้รับความสุขสำราญ  บางองค์ทรงเบียดเบียน  โดยทรงพยายามที่จะให้ถือรูปต่างๆ เป็นสรณะอันศักดิ์สิทธิ์กษัตริย์ที่โหดร้ายมาก คือ อันทิโอกที่ 4 แห่งซีเรีย ซึ่งทรงออกกฎหมายบังคับให้บูชารูปต่างๆ ที่ชาวซีเรียถือว่าเป็นสรณะอันศักดิ์สิทธิ์  ผู้ใดไม่ทำตาม  ก็สั่งให้ประหารชีวิตเสีย  ชาวยูดาที่รวนเรลุ่มหลงประพฤติตามกฎหมายสั่งก็มีบ้าง  แต่เป็นจำนวนน้อย ส่วนมากมีศรัทธาแรงกล้า  เชื่อถือพระเจ้าอย่างมั่นคงอยู่  และที่มีชื่อเลื่องลือมาก คือ มัทธาธีอัสและบุตรที่มีชื่อ มัคคะบี

 

2.      ชาวยูดาหลายคน  ที่ยอมสละชีวิตโดยไม่ยอมรับนับถือรูปต่างๆเป็นสรณะอันศักดิ์สิทธิ์  ได้ชื่อว่า “ มาร์ตีร์” (มรณสักขี) คือ จงรักภักดี  ถือตามพระบัญญัติของพระเจ้าอย่างมั่นคง บุรุษผู้หนึ่ง ชื่อ เอเลอาสาห์ มีอายุเก้าสิบเก้าปี ถูกชักชวนให้กินเนื้อ ซึ่งเป็นการผิดต่อพระบัญญัติ  และเธอก็ไม่ยอมกิน  เพื่อนบางคนแนะนำให้ทำเหมือนกินเสียเถิด จะได้พ้นโทษ แต่เอาเลอาสาห์  กลับแสดงคุณและโทษให้เห็นว่า “ ที่จะทำอุบายกิน แต่ไม่กินจริงนั้น ไม่สมกับตัวฉันเองที่มีอายุเพียงนี้ อาจจะทำให้คนรุ่นหนุ่มคิดเห็นว่า ฉันมีอายุถุงเก้าสิบปีแล้ว ยังหันไปถือลัทธิของคนนอกศาสนา  ต่างก็จะพากันยอมปฎิบัติตามที่ถูกล่อลวง  แล้วฉันก็จะมีมลทิน  เป็นการทำลายตนเองเมื่อถึงอายุชราแล้ว  ถึงแม้ว่าจะพ้นอาญาของมนุษย์แต่ก็ไม่พ้นอาญาของพระเป็นเจ้า ตรงกันข้าม ถ้าหากฉันยอมสละชีวิตด้วยใจกล้าหาญมั่นคงในพระองค์  ก็จะเป็นตัวอย่างที่คนรุ่นหนุ่มควรทำตาม”  เอเลอาสาห์  พูดดังนี้แล้ว ก็ถูกนำตัวไปประหารชีวิต

 

3.      อีกครั้งหนึ่ง  กษัตริย์อันทิโอก  ทรงรับสั่งให้จับมารดากับบุตรเจ็ดคนไปบังคับให้กินเนื้อ  ซึ่งต้องห้ามตามพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า และไม่ยอมปฎิบัติตามคำรับสั่งของกษัตริย์อันทิโอก  ทุกคน จึงถูกลงอาญาอย่างทารุณโหดร้ายหลายประการ  ในที่สุด หญิงผู้เป็นมารดา  ก็ถูกประหาร ด้วย

 

     

เตรียมรับพระผู้ไถ่

 

                ชาวยูดาหวังว่าจะได้กำลังของชาวโรมันมาตีข้าศึก ซึ่งเป็นศัตรูต่อบ้านเมืองและศาสนา  จึงได้ทำไมตรีกับชาวโรมันแต่ในกาลต่อมา  ชาวโรมันกลับแผ่อำนาจเข้าปกครองรัฐยูดา และแต่งตั้ง เฮโรด  คนต่างด้าวเป็นกษัตริย์ปกครองแทนกษัตริย์ โรมัน เมื่อชาวยูดาเสียอิสรภาพแล้ว  ทำให้เร่าร้อนปรารถถึงพระผู้ไถ่ซึ่งจะเสด็จลงมาตั้งพระศาสนจักรของพระองค์  อีกประการหนึ่ง  กรุงโรมได้ขยายอาณาจักร ตั้งแต่ประเทศบริเทนตลอดไปจนถึงประเทศเปอร์เซีย  ได้ถ่ายทอดอารยธรรม  ให้แพร่หลายไปในภูมิประเทศเหล่านั้น  และรักษาสันติภาพ  ให้พลเมืองมีความสุขสำราญทั่วอาณาจักร  ทั้งนี้ เป็นที่แสดงว่า  พระผู้เป็นเจ้าทรงจัดภูมิประเทศสำหรับพระผู้ไถ่  คือ พระเมสสิยาห์  ซึ่งจะเสด็จลงมาไถ่บาปมนุษยชาติ  ตามคำประกาศของประภาษก
 

 ภาคสอง
พระธรรมใหม่

การถือกำเนิดขององค์พระผู้ไถ่ ( พระเยซูเจ้า )
********************

ในรัชสมัยกษัตริย์เฮโรด ครองประเทศยูดานั้น เทวดาคาเบรียลมาแจ้งแก่ศาดารยาห ผู้ซึ้งกำลังถวายกำยานในพระวิหารเยรูซาเล็มให้ทราบว่า ภรรยาจะมีบุตรคนหนึ่ง ซึ่งจะเป็นผู้นำหน้าพระผู้ไถ่ และให้ตั้งชื่อว่า ยอรห์น ศาดารยานหไม่ยอมเชื่อว่าตนจะมีบุตรได้ เพราะท่านและภรรยา ชื่อเอลีซาเบธ ก็แก่เต็มทีแล้ว ฉะนั้นเทวดาจึงกล่าวว่า เพราะไม่เชื่อ ท่านจะเป็นใบ้ พูดไม่ได้จนกระทั้งบุตรเกิดมา และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ

ต่อมาอีก6เดือน เทวดาคาเบรียลไปแจ้งแก่พระนางพรหมจารีมารีย์ให้ทราบว่า พระผู้เป็นเจ้าทรงมีพระประสงค์ให้พระนางเป็นพระพระมารดาของพระผู้ไถ่ เทวดากล่าวคำสดุดี

พระมารดามารีย์ค้านว่าพระนางถือศีลพรหมจรรย์ แต่เทวดา ทูลว่า พระจิตเจ้าจะทรงบันดาลให้พระนางเป็นทั้งแม่พระและพรหมจารีในเวลาเดียวกัน พระนางจึงอ่อนน้อมยอมตามน้ำพระทัย ทันใดนั้น องค์พระผู้ไถ่จึงได้เสด็จลงมาจากสวรรค์ และรับเอาพระวรกายเป็นมนุษย์ ในครรภ์พระมารดามารีย์

   

( ตอนนี้ในหน้าของพระธรรมใหม่อยู่ระหว่างการดำเนินการจัดพิมพ์ ) p6