ความแตกแยกของชาติอิสราเอล
พระเจ้าสะโลโมน
1. ก่อนที่จะสวรรคต กษัตริย์ดาวิดได้อภิเษกสะโลโม
ราชบุตรของพระองค์ ให้เสวยราชย์สืบแทนต่อไป
คราวนี้พระเจ้าสะโลโมน ทรงขึ้นปกครองชนชาติอิสราเอลทรงมีพระชนม์มายุเพียง 17 พรรษา พระผู้เป็นเจ้าตรัสถามท่านว่าท่านชอบสิ่งใดจงขอจากพระองค์เถิด และพระเจ้าสะโลโมน แทนที่จะทูลขอเงินหรือขอของแผ่นดิน ทรงขอพระปรีชาเพื่อจะสามารถปกครองแผ่นดินอย่างดี พระเจ้าสะโลโมน ได้แสดงพระปรีชาเฉลียวฉลาดในการพิพากษา เป็นต้น
2. วันหนึ่ง มีมารดาสองคนไปทูลเกล้าถวายฎีกา คดีต่าง
แย่งกรรมสิทธิ์บุตรของตน โดยต่างฝ่ายต่างอ้างว่าเด็กที่มีชีวิตอยู่คนนั้นเป็นบุตรของตน จึงไม่มีใครรู้ว่าคนไหนเป็นมารดาแท้
พระเจ้าสะโลโมน ทรงแกล้งรับสั่งให้ตัดร่างเด็ก
ออกเป็นสองท่อน ให้มารดาสองคนๆ ละท่อน มารดาคนหนึ่งวอนขอชีวิตเด็กไว้ และยอมให้อีกคนหนึ่งเอาเด็กไปทั้งตัว พระเจ้าสะโลโมนจึงทรงทราบได้ว่าใครเป็นมารดาแท้หรือไม่แท้ โดยประการเช่นนี้ และทรงตัดสินมอบเด็กให้ แก่มารดาที่ไม่ยอมให้เด็กถูกตัดเป็นสองท่อนเพระเป็นมารดาแท้
3. กิจกรรมอันใหญ่หลวงของพระเจ้าสะโลโมน คือการสร้างพระมหาวิหาร ณ กรุงเยรูซาเล็ม แต่เสียดาย
ยิ่งนักที่พระเจ้าสะโลโมนไม่ได้ซื่อสัตย์ต่อพระผู้เป็นเจ้าตลอดไป
กษัตริย์สะโลโมนได้ผูกไมตรีคบหาสมาคมกับคนต่างศาสนาจนถึงกับส่งเสริมศาสนาของเขาและนำ
ศาสนาเท็จเทียมเข้าสู่ชนชาติอิสราเอล อันเป็นตัวอย่างไม่ดีทั่วไป และพระผู้เป็นเจ้ารับสั่งว่า จงแบ่งแยก
บ้านเมืองเป็นสองส่วน และจะมอบให้แด่คนใช้
รัฐอิสราเอล แยกเป็นสองรัฐ
4. เรโหโบอัม ราชโอรสของ สะโลโมน ได้เสวยราชย์สืบต่อมา ในต้นรัชกาลนี้ ชาวอิสราเอลสิบตระกูลคิดขบถเว้นแต่ตระกูลยูดาและตระกูลเบนยามิน สองตระกูลเท่านั้นที่ยังคงสวามิภักดิ์ต่อกษัตริย์ เรโหโบอัม ฉะนี้ ชนชาติอิสราเอลเดิมจึงต้องแยกกันอยู่เป็นสองรัฐ คือรัฐอิสราเอลสิบตระกูลอยู่ภาคเหนือและรัฐยูดาคือตระกูลยูดาและเบนยามิน อยู่ในภาคใต้รัฐอิสราเอล
5. กษัตริย์ผู้ปกครองชาวอิสราเอล แทบทุกพระองค์ล้วนมีพระอัธยาสัยไม่ดี โดยทรงนำพลเมืองให้เคารพบูชารูปต่างๆ เป็นสรณะ ในศตวรรษที่แปด ก่อนคริสตศักราช พระผู้เป็นเจ้าทรงลงพระอาญาแก่ชาวอิสราเอลตั้งแต่กษัตริย์ ตลอดลงไปจนถึงพลเมือง คือ ให้ชาวอัสสิเรียยกมารุกรานจับไปเป็นเชลยหมดทั้งชาติ และให้กระจายกันอยู่ทั่วประเทศอัสสิเรีย ส่วนรัฐอิสราเอลนั้นให้คนต่างศาสนาเข้ามาอยู่ ซึ่งในสมัยต่อมา ไม่ได้กลับเข้าไปอยู่ในภูมิประเทศเดิมอีกเลย จึงได้ชื่อว่าสิบตระกูลพินาศ
รัฐยูดา
6. กษัตริย์ครองรัฐยูดาสืบต่อมา บางพระองค์ ทรงประพฤติดีงาม บางพระองค์ก็ทรงประพฤติเลวทราม ครั้นถึงสมัยต้นศตวรรษที่หกก่อนคริสตศักราช พระผู้เป็นเจ้า ทรงบันดาลให้กษัตริย์เนบุคัดเยสซาร์แห่งแคว้นบาบิโลน ยกกองทัพเข้ายึดนครเยรูซาเล็ม ทำลายบ้านเมืองและพระวิหารซึ่งกษัตริย์สะโลโมน ทรงสร้างไว้ ทั้งกวาดต้อนพลเมืองไปเป็นเชลยใน กรุงบาบิโลน
บุรุษตัวอย่าง
โทบิอัส
1.โทบิอัส เป็นชาวอิสราเอลคนหนึ่งที่ถูกจับไปเป็นเชลยอยู่ในประเทศอัสสิเรีย เป็นผู้ที่ศรัทธาถือตามพระบัญญัติ พระผู้เป็นเจ้า ใคร่จะทดลองโทบิอัสว่าจะมีความอดทนและความเพียรสักเพียงใด จึงทรงบันดาลให้ตาบอดทั้งสองข้าง ขณะที่ท่านกำลังนอนอยู่นอกชานบ้าน และนกกระจอกปล่อยมูลลงมาที่ตามทำให้ตาบอด ในกาลต่อมา โทบิอัส คิดว่าตนจะถึงความตาย ในไม่ช้า จึงใช้ให้บุตรชื่อโทบิอัลน้อย ไปทวงเงินคาเบลุสผู้เป็นหนี้ อยู่ที่แคว้นชาวเมดี เป็นจำนวนเงินสิบตะเลนตา โทบิอัลน้อยเที่ยวหาผู้นำทาง ก็พบเทวดาราฟาเอลซึ่งเนรมิตลงมารับอาสาเป็นผู้นำ โดยที่โทบิอัสน้อยได้ลงล้างมือล้างเท้า ทันใดมีปลาตัวใหญ่โผล่ออกมาจะกัด โทบิอัสสะดุ้งและวอนขอให้ผู้นำช่วย ผู้นำทางสั่งให้จับปลาตัวนั้นฆ่าเสียแล้วให้เอาดีและม้ามไปเป็นยา เมื่อถึงที่แล้ว พบคนหนึ่งมีผีมารบกวน โทบิอัสน้อยได้อธิฐานภาวนาด้วยกันสามวันสามคืนและฝีปีศาจหนีไปอย่างเด็ดขาด
2. เมื่อกลับถึงบ้าน เทวดาสั่งให้โทบิอัสน้อย เอาดีและม้ามของปลามาทาตามตาของบิดา และบิดากลับมีสายตาดีเป็นปกติดังเดิม
ในที่สุด โทบิอัสอยากแบ่งมรดกครึ่งหนึ่งให้แก่ผู้นำทางแต่เทวดาแสดงตัวว่า เราคือเทวดาของพระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงใช้เรามาเพื่อแสดงว่าพระองค์ได้ฟังคำภาวนาของผู้ชอบธรรม เวลาเธอฝังศพผู้ตายที่ไร้ญาติ พระผู้เป็นเจ้าทรงเห็น และเนื่องด้วยเป็นที่พอพระทัย พระองค์จึงจำเป็นให้มีการผจญเพื่อทดลองท่าน
มหาบุรุษโย็บ
1. มหาบุรุษโย็บอยู่ในแคว้นหุสแห่งประเทศอารับ ไม่มีเชื้อสายอิสราเอล แต่เป็นผู้นับถือพระผู้เป็นเจ้าแน่วแน่ด้วยความเลื่อมใสยิ่งนัก และเป็นผู้บริบูรณ์ด้วยสมบัติ พระเจ้าใคร่จะทรงทดลองความมั่นคงในความจงรักภักดี ของโย็บ
ให้ปรากฏแก่ประชาชนทั่วไป จึงทรงอนุญาตให้ผีปีศาจมาทำร้ายท่านด้วยประการต่างๆ เช่น ทำให้บุตรตายหมด ทำให้ทรัพย์สมบัติต้องพินาศล่มจม และทำให้ร่างกายมีโรคพยาธิพิการทั้งตัว ถึงแม้ว่าต้องผจญภัยดังนี้ มหาบุรุษโย็บ ก็คงมีความเชื่อถืออย่างมั่นคงในพระผู้เป็นเจ้า และมีความเพียรอดทนเป็นที่ยิ่ง และถึงแม้ว่าจะถูกภรรยาเยาะเย้ยและเพื่อนบ้านติเตียนสักเท่าใด ก็ไม่หวั่นไหว
2. มหาบุรุษโย็บ เคยพูดเสมอว่า สิ่งทั้งปวงมาแต่พระเจ้าประทาน เมื่อพระองค์ทรงเรียกคืน ก็ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัย ข้าฯ ขอสนองพระเดชพระคุณทุกประการ เราพอใจรับคุณความดีที่พระองค์ประทานให้ ก็ไฉนเล่าจะไม่พอใจรับภัย ซึ่งแล้วแต่พระองค์จะโปรดบันดาลให้เป็นขึ้น ในที่สุด พระผู้เป็นเจ้าทรงโปรดให้มหาบุรุษโย็บหายจากโรคภัยเป็นปกติ ทั้งทรงอวยพระพรให้กับครอบครัวมีความผาสุกเหมือนเดิม และให้ร่ำรวยทรัพย์สินยิ่งกว่าก่อน
ประภาษก (ผู้ประกาศพระโอวาท)
เหตุภัยอันตราย ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าทรงโปรดให้ชาวอิสราเอลต้องรับทุกข์เวทนาต่าง ๆ ก็เพราะพวกเขาไม่ถือตามคำสัตย์ปฏิญาณที่ได้ถวายไว้แต่เดิม แต่พระองค์ทรงดลใจประภาษก ( ผู้ประกาศพระโอวาท) หลายคนแห่งสมัยต่างๆ ให้ติเตียนและชี้แจงแสดงโทษอันพึงจะต้องรับหากว่าไม่กลับใจ และประภาษกเหล่านั้นยังได้ทำนายไว้ว่า พระผู้เป็นเจ้า จะทรงโปรดให้พระผู้ไถ่เสด็จลงมา พระมหาไถ่พระองค์นั้น จะทรงมีชัยแก่ศัตรูคือปีศาจ และจะเผยแผ่พระศาสนาจักรของพระองค์ไปจนทั่วพิภพ ประภาษกที่มีเกียรติคุณเลื่องลือในยุคก่อน คือ เอลียาห์,เอลีซาห์,อิสยาห์,เยเรมีห์,เอเสเคียล ฯลฯ
ประภาษก (ผู้ประกาศพระโอวาท) ในกาลสมัยต่างๆ แต่ละคนทำนายไว้ว่า
1. พระผู้ไถ่ จะทรงถือกำเนิดในตระกูลยูดาแห่งราชวงศ์ดาวิด
2. พระผู้ไถ่ จะทรงถือกำเนิดแต่นางพรหมจารีองค์หนึ่งที่ตำบลเบธเลเฮม
3. พระผู้ไถ่ จะทรงรับทุกข์ทรมานทางพระกายอย่างสาหัส พระหัตถ์และพระบาทจะต้องถูกเจาะทะลุด้วยตาปู
4. พระผู้ไถ่ จะทรงตั้งศาสนจักรของพระองค์ขึ้นใหม่ อันจะถาวรอยู่จนสิ้นพิภพ
และข้อความอื่นๆ อีกมาก ทั้งนี้ ชาวอิสราเอล หลงเข้าใจว่า พระผู้ไถ่ซึ่งจะเกิดมานั้น จะเป็นมนุษย์เหมือนคนธรรมดาแต่ประกอบด้วยคุณสมบัติพิเศษอย่างน่าอัศจรรย์ พระองค์จะเป็นศาสดาที่สำแดงอิทธิปาฎิหารย์ทำนายเหตุการณ์ในอนาคต และจะทรงเป็นกษัตริย์ของชาวอิสราเอลสืบเนื่องมาแต่ราชวงศ์ดาวิด ในส่วนที่ทรงเป็นกษัตริย์ พระองค์ทรงรื้อฟื้นและเผยแผ่อาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า ทั้งนี้ ชาวอิสราเอล เข้าใจเสียก่อนแล้ว ชัยชนะของพระเจ้า ก็เป็นชัยชนะของชาวอิสราเอลด้วยเหมือนกัน ฉะนั้น ในส่วนการทำนายของอิสยาห์ ซึ่งกล่าวถึงความทรมานและความตายของพระผู้ไถ่ ชาวอิสราเอลจึงไม่พยายามทำความเข้าใจ กลับเห็นเป็นที่รังเกียจในการที่พระองค์จะต้องทนทุกข์ทรมาน เพื่อไถ่โทษบาปมนุษย์ชาติที่ติดมาแต่กำเนิด
ดาเนียล
1. ประภาษก ดาเนียล เป็นชาวยูดา ซึ่งถูกจับไปเป็นเชลยอยู่ในบาบิโลน กษัตริย์เนบุคัดเนสซาร์ มีพระบรมราชโองการให้คัดเลือกดาเนียลและสหายอีกสามคน คือ อานาเนีย , มิชาเอล,อาชาริยาห์ ไปรับราชการพิเศษ แต่ทรงพอพระทัยในดาเนียลเป็นอันมาก เพราะเป็นผู้มีฤทธิ์กุศล ทั้งสามารถทูลอธิบายความในพระสุบินของพระองค์ได้ แม้ทรงฝันแล้วลืมเสียด้วย
2. กษัตริย์เนบุคัดเนสซาร์ ทรงมีพระบรมราชโองการให้สร้างรูปบูชาด้วยทองคำรูปหนึ่ง เพื่อให้ประชาชนพลเมืองทั่วไปนมัสการรูปนั้น แต่อานาเนีย ,มิชาเอล,และอาซาริยาห์ ไม่ยอมนมัสการ พระองค์จึงทรงพระพิโรธ และให้นำตัวทั้งสามคนไปทิ้งในเตาไฟที่กำลังร้อนเต็มที่ แต่ทั้งสามคน หาเป็นอันตรายไม่กลับเดินไปมาและรับร้องสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า ทั้งนี้ด้วยเดชะพระบารมีปกป้องรักษา ให้มีเทวดาลงมาป้องกันภัยนั้น
3. ดาริอัส ผู้ปกครองบาบิโลนแทน กษัตริย์สิราห์แห่งเปอร์เซีย ก็ทรงพอพระทัยในกิจการของดาเนียล เหมือนกันกระนั้นก็ดี ดาเนียล ยังไม่พ้นจากความบีบคั้นให้เคารพบูชารูปทองคำ นั้น มีผู้ทูลพระราชาธิบดีว่า ดาเนียลถวายนมัสการพระเจ้าที่ตนเคยเคารพบูชา เป็นการฝ่าฝืนพระบรมราชโองการ ดาเนียลจึงต้องราชอาญา ให้นำตัวไปทิ้งในที่ขังสิงโตหลายตัว แต่ด้วยเดชะพระบารมีปกป้อง ดาเนียลมิได้รับอันตรายจากสัตว์ร้ายนั้นเลย
ชาวยูดา กลับเข้าบ้านเมืองของตน
1. เมื่อชาวยูดา ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยอยู่ในบาบิโลนเป็นเวลาเจ็ดสิบปี สมตามคำทำนายของประภาษกเยเรมีห์แล้วพระผู้เป็นเจ้า ทรงโปรดดลใจกษัตริย์สิราห์ ให้ออกกฎหมายปล่อยชาวยูดาเป็นไท ใครอยากจะกลับบ้านเมืองของตนก็ให้กลับได้ เศรุบบาเบลจึงนำชาวยูดากลับเข้ากรุงเยรูซาเล็ม ในปี 538 ก่อนคริสตศักราช จำเดิมแต่นั้นมา ชาวยูดาได้สร้างพระวิหารขึ้นใหม่มีประภาษก อาคีช และประภาษก คาเรียล เป็นต้น เป็นผู้สนับสนุนและต่อมา เนหะมีย์ ก็ได้สร้างกรุงเยรูซาเล็มขึ้นใหม่ โดยมีกำแพงนครล้อมรอบเป็นขอบเขต
มัคคะบี
1. ชาวยูดา กลับมาอยู่บ้านเมืองเดิม เป็นไทแก่ตนเองแล้วกลับมีความเชื่อถือพระผู้เป็นเจ้าอย่างเคร่งครัดยิ่งกว่าแต่ก่อน ประพฤติตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายของตน และยกย่องพระสังฆราชขึ้นเป็นหัวหน้าของตนด้วย แต่ยังคงเป็นเมืองขึ้นของเปอร์เซียบางคราวก็ตกไปเป็นของซีเรีย และบางสมัยก็ขึ้นต่ออียิปต์ สุดแต่ว่ากษัตริย์ประเทศใดมีชัยชนะในการรบซึ่งกันและกัน กษัตริย์บางองค์ทรงโปรดให้ชาวยูดา ได้รับความสุขสำราญ บางองค์ทรงเบียดเบียน โดยทรงพยายามที่จะให้ถือรูปต่างๆ เป็นสรณะอันศักดิ์สิทธิ์กษัตริย์ที่โหดร้ายมาก คือ อันทิโอกที่ 4 แห่งซีเรีย ซึ่งทรงออกกฎหมายบังคับให้บูชารูปต่างๆ ที่ชาวซีเรียถือว่าเป็นสรณะอันศักดิ์สิทธิ์ ผู้ใดไม่ทำตาม ก็สั่งให้ประหารชีวิตเสีย ชาวยูดาที่รวนเรลุ่มหลงประพฤติตามกฎหมายสั่งก็มีบ้าง แต่เป็นจำนวนน้อย ส่วนมากมีศรัทธาแรงกล้า เชื่อถือพระเจ้าอย่างมั่นคงอยู่ และที่มีชื่อเลื่องลือมาก คือ มัทธาธีอัสและบุตรที่มีชื่อ มัคคะบี
2. ชาวยูดาหลายคน ที่ยอมสละชีวิตโดยไม่ยอมรับนับถือรูปต่างๆเป็นสรณะอันศักดิ์สิทธิ์ ได้ชื่อว่า มาร์ตีร์ (มรณสักขี) คือ จงรักภักดี ถือตามพระบัญญัติของพระเจ้าอย่างมั่นคง บุรุษผู้หนึ่ง ชื่อ เอเลอาสาห์ มีอายุเก้าสิบเก้าปี ถูกชักชวนให้กินเนื้อ ซึ่งเป็นการผิดต่อพระบัญญัติ และเธอก็ไม่ยอมกิน เพื่อนบางคนแนะนำให้ทำเหมือนกินเสียเถิด จะได้พ้นโทษ แต่เอาเลอาสาห์ กลับแสดงคุณและโทษให้เห็นว่า ที่จะทำอุบายกิน แต่ไม่กินจริงนั้น ไม่สมกับตัวฉันเองที่มีอายุเพียงนี้ อาจจะทำให้คนรุ่นหนุ่มคิดเห็นว่า ฉันมีอายุถุงเก้าสิบปีแล้ว ยังหันไปถือลัทธิของคนนอกศาสนา ต่างก็จะพากันยอมปฎิบัติตามที่ถูกล่อลวง แล้วฉันก็จะมีมลทิน เป็นการทำลายตนเองเมื่อถึงอายุชราแล้ว ถึงแม้ว่าจะพ้นอาญาของมนุษย์แต่ก็ไม่พ้นอาญาของพระเป็นเจ้า ตรงกันข้าม ถ้าหากฉันยอมสละชีวิตด้วยใจกล้าหาญมั่นคงในพระองค์ ก็จะเป็นตัวอย่างที่คนรุ่นหนุ่มควรทำตาม เอเลอาสาห์ พูดดังนี้แล้ว ก็ถูกนำตัวไปประหารชีวิต
3. อีกครั้งหนึ่ง กษัตริย์อันทิโอก ทรงรับสั่งให้จับมารดากับบุตรเจ็ดคนไปบังคับให้กินเนื้อ ซึ่งต้องห้ามตามพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า และไม่ยอมปฎิบัติตามคำรับสั่งของกษัตริย์อันทิโอก ทุกคน จึงถูกลงอาญาอย่างทารุณโหดร้ายหลายประการ ในที่สุด หญิงผู้เป็นมารดา ก็ถูกประหาร ด้วย
เตรียมรับพระผู้ไถ่
ชาวยูดาหวังว่าจะได้กำลังของชาวโรมันมาตีข้าศึก
ซึ่งเป็นศัตรูต่อบ้านเมืองและศาสนา จึงได้ทำไมตรีกับชาวโรมันแต่ในกาลต่อมา
ชาวโรมันกลับแผ่อำนาจเข้าปกครองรัฐยูดา และแต่งตั้ง เฮโรด
คนต่างด้าวเป็นกษัตริย์ปกครองแทนกษัตริย์ โรมัน เมื่อชาวยูดาเสียอิสรภาพแล้ว
ทำให้เร่าร้อนปรารถถึงพระผู้ไถ่ซึ่งจะเสด็จลงมาตั้งพระศาสนจักรของพระองค์
อีกประการหนึ่ง กรุงโรมได้ขยายอาณาจักร ตั้งแต่ประเทศบริเทนตลอดไปจนถึงประเทศเปอร์เซีย
ได้ถ่ายทอดอารยธรรม ให้แพร่หลายไปในภูมิประเทศเหล่านั้น และรักษาสันติภาพ
ให้พลเมืองมีความสุขสำราญทั่วอาณาจักร ทั้งนี้ เป็นที่แสดงว่า
พระผู้เป็นเจ้าทรงจัดภูมิประเทศสำหรับพระผู้ไถ่ คือ พระเมสสิยาห์
ซึ่งจะเสด็จลงมาไถ่บาปมนุษยชาติ ตามคำประกาศของประภาษก
ภาคสอง
พระธรรมใหม่
การถือกำเนิดขององค์พระผู้ไถ่ ( พระเยซูเจ้า )
********************
ในรัชสมัยกษัตริย์เฮโรด ครองประเทศยูดานั้น เทวดาคาเบรียลมาแจ้งแก่ศาดารยาห ผู้ซึ้งกำลังถวายกำยานในพระวิหารเยรูซาเล็มให้ทราบว่า ภรรยาจะมีบุตรคนหนึ่ง ซึ่งจะเป็นผู้นำหน้าพระผู้ไถ่ และให้ตั้งชื่อว่า ยอรห์น ศาดารยานหไม่ยอมเชื่อว่าตนจะมีบุตรได้ เพราะท่านและภรรยา ชื่อเอลีซาเบธ ก็แก่เต็มทีแล้ว ฉะนั้นเทวดาจึงกล่าวว่า เพราะไม่เชื่อ ท่านจะเป็นใบ้ พูดไม่ได้จนกระทั้งบุตรเกิดมา และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ
ต่อมาอีก6เดือน เทวดาคาเบรียลไปแจ้งแก่พระนางพรหมจารีมารีย์ให้ทราบว่า พระผู้เป็นเจ้าทรงมีพระประสงค์ให้พระนางเป็นพระพระมารดาของพระผู้ไถ่ เทวดากล่าวคำสดุดี
พระมารดามารีย์ค้านว่าพระนางถือศีลพรหมจรรย์ แต่เทวดา ทูลว่า พระจิตเจ้าจะทรงบันดาลให้พระนางเป็นทั้งแม่พระและพรหมจารีในเวลาเดียวกัน พระนางจึงอ่อนน้อมยอมตามน้ำพระทัย ทันใดนั้น องค์พระผู้ไถ่จึงได้เสด็จลงมาจากสวรรค์ และรับเอาพระวรกายเป็นมนุษย์ ในครรภ์พระมารดามารีย์
( ตอนนี้ในหน้าของพระธรรมใหม่อยู่ระหว่างการดำเนินการจัดพิมพ์ ) p6