พวกพี่กราบไหว้น้อง

1.      กรณีข้าวปลาอาหารกันดาร  หาได้มีแต่ที่ประเทศอียิปต์แห่งเดียวไม่ แม้แต่ประเทศคานาอัน  คือเมืองที่ท่านยาโคบอาศัยอยู่  ก็ต้องอดอยากตามๆ กัน ฉะนั้น ท่านยาโคบ  จึงให้บุตรทั้งสิบคนเดินทางไปซื้อข้าวที่อียิปต์

 

2.      บรรดาพี่ชายของโยเซฟ  พอถึงประเทศอียิปต์ก็เข้าเฝ้าพระมหาอุปราช  และกราบไหว้ทำความเคารพ  เพราะจำไม่ได้ว่าเป็นน้องชาย ส่วนโยเซฟจำพี่ชายได้ทุกคน  แต่แสร้งทำเหมือนไม่รู้จัก  ดั่งที่จะได้ใคร่ทดลองให้รู้ว่าความประพฤติของพวกพี่จะเปลี่ยนอย่างไรบ้าง  โดยกล่าวหาว่าพวกนี้เป็นจารบุรุษ  มาดูความลึกตื้นหนาบางของประเทศ

 

3.      ฝ่ายพวกพี่ชายจึงเล่าเรื่องราวในตระกูลให้มหาอุปราชฟัง  ครั้นมหาอุปราชโยเซฟได้ยินพวกพี่ทูลว่าทางบ้านมีน้องชายเบนยามินก็อยากพบเห็น  จึงสั่งพวกพี่ว่าในคราวหน้าถ้ามาซื้อข้าวอีกก็นำเบนยามินมาด้วย พวกพี่ชายก็รับปฏิบัติตาม

 

4.      โยเซฟให้พี่ชายคนหนึ่งต้องอยู่เป็นเชลย  จนกว่าจะได้นำน้องชายมาให้ดู และยังสั่งเจ้าหน้าที่ให้บรรทุกกระสอบข้าวเต็มเปี่ยม  ทั้งให้เอาเงินค่าข้าวที่พวกพี่ได้นำมา  บรรจุปากกระสอบคืนให้เขา  ส่วนยาโคบผู้บิดาเมื่อทราบเรื่องราวตามที่เป็นไป  ก็รู้สึกเสียใจเป็นกำลังเพราะลูกคนที่ต้องอยู่เป็นเชลย  และเมื่อเปิดกระสอบข้าวเห็นเงินค่าข้าวคืนมาก็แทบไม่เชื่อตาตนเอง  จึงคิดไปในแง่ร้ายต่างๆ คล้ายเป็นนโยบายของเจ้านายอียิปต์เพื่อทำลายครอบครัวคนเอง

 

เมื่อข้าวหมด  พวกลูกชายยาโคบ  จึงขอร้องบิดาให้มอบน้องตนเล็กไปด้วยกันที่ประเทศ

อียิปต์เพื่อซื้อข้าว   หากว่าบิดาไม่มอบให้น้องไปด้วยกัน  เขาก็ไม่กล้วไป  เพราะกลัวพระมาหาอุปราชจะเล่นงานเขาเหตุไม่ด้ถือตามคำสัญญาที่ได้ให้ไว้

 

5.       เมื่อโยเซฟได้เห็น  น้องชายเบนยามินเป็นครั้งแรกรู้สึกน้ำตาจะตก  ต้องเข้าไปในห้องส่วนตัวสักพักหนึ่ง  เพื่อระบายความรู้สึกนั้นไม่ให้พวกพี่เห็น  วันรุ่งขึ้นให้มีการกินเลี้ยงสำหรับพวกพี่ทุกคน  โยเซฟให้เกียรติแก่น้องมาก  เพื่อดูว่าพวกพี่ยังติดนิสัยอิจฉาอีกไหมแล้วสั่งเจ้าหน้าที่ ให้บรรทุกข้าวใส่กระสอบเหมือนครั้งก่อนแต่ครั้งนี้   โยเซฟยังสั่งให้เอาถ้วยทองคำของตร  ซ่อนเข้าในกระสอบข้าวของน้องชายเบนยามิน  แล้วให้เดินทางกลับได้

 

ขณะที่เขากำลังเดินทางกลับ โยเซฟสั่งเจ้าหน้าที่ให้ไล่ตาม กล่าวหาว่าถ้วยทองคำของโยเซฟหายไปใบหนึ่ง หากว่าเจอในกระสอบข้าวของใครคนนั้นต้องอยู่เป็นเชลยฐานขโมย เมื่อพวกพี่เห็นถ้วยทองคำในกระสอบข้าวของน้อง ให้รู้สึกสลดใจเป็นอย่างมากจึงกราบลงไหว้มหาอุปราชขอเปลี่ยนตัวเชลย หาไมบิดาที่บ้านจะต้องเป็นทุกเสียใจอย่างแน่นอน

 

6. บัดนี้ โยเซฟเห็นว่าพวกพี่ไม่มีความอิจฉาต่อน้องอย่างจริงใจแล้ว จึงเรียกพวกพี่น้องเข้าในห้องส่วนตัวและแสดงตนว่า ท่านคือโยเซฟผู้เป็นน้องที่เขาขายให้แก่พ่อค้าชาวอียิปต์ พวกพี่ได้ฟังดังนั้น ก็ยิ่งตกใจกลัวว่า บัดนี่น้องคงจะแก้แค้นตนอย่างสาสม แต่โยเซฟปลอบโยนเขาว่าไม่ต้องกลัว และไม่ต้องวิตกต่อสิงใดทั้งสิ้น แต่ให้กลับไปบ้านเชิญพ่อแม่มาประเทศอียิปต์ด้วย เพราะว่าความกันดารยังมีอยู่ตลอดไปอีกหลายปี

 

ยาโคบมาอยู่ประเทศอียิปต์

1.       โยเซฟให้พวกพี่ชายไปเชิญบิดามา  แล้วสั่งราชรถหลวงไปรับ  ทั้งยังบรรทุกของพื้นเมืองมากมายไปฝากด้วย  ยาโคบครั้นรู้เรื่องแล้ว ก็รำพันว่า “โยเซฟลูกรักของพ่อ  เจ้ายังมีชีวิตอยู่ พ่อจะไปหาลูกให้ชื่อนใจก่อนจะตาย”

 

2.      ครั้นจัดข้าวของและสัตว์พาหนะเรียบร้อยแล้ว  จึงอพยพไปประเทศอียิปต์  โยเซฟขึ้นราชรถออกไปต้อนรับบิดาครั้นพ่อลูกพบหน้ากันก็โผเข้ากอดกันแน่น  ต่างร้องไห้ด้วยความปิติยินดีสุดซื้ง  ยาโคบพูดว่า “บัดนี้พ่อจะตายเป็นสุข  เพราะพ่อได้เห็นหน้าลูกที่รักของพี่แล้ว”

 

3.      มหาอุปราชโยเซฟ  ได้ยกที่ดินในมณฑลเยเซนให้บิดาและพี่น้องอยู่  เพราะเป็นที่ดินที่อุดมสมบูรณ์  เหมาะแก่การเลี้ยงปสุสัตว์  ต่อมา  ยาโคบแก่ชรามากแล้วจึงให้พวกลูกหลานเข้ามาประชุมกัน  แล้วอวยพรให้เขา  พลางทำนายไว้ว่า “ องค์พระมหาไถ่จะเกิดในตระกูลของลูกชายที่ชื่อยูดา”

 

4.      ครั้นยาโคบถึงแก่กรรมแล้ว  โยเซฟจัดการชโลมศพด้วยเครื่องหอม  แล้วนำไปฝังในประเทศคานาอันในที่ฝังศพของบรรพบุรุษ  ฝ่ายโยเซฟก็เจริญอายุอยู่ถึง 110 ปี  และก่อนจะตายก็ให้ลูกหลานสัญญาว่า  หากพระจะทรงโปรดให้พวกเขาได้กลับไปอยู่ในประเทศคานาอันเสียใหม่ตามพระสัญญาแล้วเมื่อไร  ก็ให้เอาศพของตนไปฝังไว้ใกล้บรรพบุรุษด้วย

 

โมเสสรอดได้

 

1.      ลูกหลานของยาโคบ  เพิ่มจำนวนขึ้นมากมายจนเป็นที่วิตกแก่พระเจ้ากรุงอียิปต์  เวลานั้น ลูกหลานของยาโคบได้ชื่อว่า “ชาวอิสราเอล”

 

 ตามนามของยาโคบ  ซึ่งเคยได้ชื่อใหม่ว่า “อิสราเอล”

 

2.      พระราชาทรงเกรงว่า  ถ้าไม่รีบขัดขวางชาติอิสราเอลแล้ว มิช้าชาวอิสราเอลจะมีจำนวนมากกว่าอียิปต์  และจะเป็นมหาภัยแก่ประเทศ  จึง

 

ดำเนินการเบียดเบียนข่มเหงต่างๆ เป็นต้นออกพระราชกำหนดกฎหมาย  ให้เอาเด็กชายอิสราเอลที่เกิดใหม่ไปถ่วงน้ำในแม่น้ำไนล์หมดทุกคน

 

3.      หญิงชาวอิสราเอลคนหนึ่ง มีลูกชาย  เพราะรักลูกนั่นเอง  จึงซ่อนไว้ให้พ้นจากเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เป็นเวลาตั้ง 3 เดือน  เมื่อเห็นว่าไม่มีทาง

 

จะซ่อนต่อไปได้แล้ว จึงวางลูกลงในตะกร้าที่ยาชัน  แล้วปล่อยอยู่กลางพงอ้อ  และสั่งให้ลูกสาวชื่อ มารียา  คอยเฝ้าดูความเป็นไป

 

4.      วันนั้น  พระราชธิดาแห่งพระเจ้ากรุงอียิปต์  ได้เสร็จลงมาอาบน้ำและเห็นตะกร้า  ก็รับสั่งให้สาวใช้ไปดูว่ามีอะไรอยู่ในนั้นเมื่อรู้ว่าเป็นเด็ก

แดงๆ ก็ทรงสงสาร  ฝ่าย “ มารียา” เห็นได้ทีจึงออกมาทูลว่า  ถ้าพระราชธิดาต้องการแม่นมคนหนึ่งก็จะหามาถวายแล้วไปเรียกแม่ของตนมาเฝ้าพระ

ราชธิดา  พระนางจึงมองเด็กให้เขาเลี้ยงไว้ให้ และตั้งชื่อเด็กว่า “โมเสส”  แปลว่า “ รอดจากน้ำ”

โมเสสในที่เปลี่ยว

 

1.       เมื่อมารดาของโมเสส  ได้เลี้ยงบุตรจนโตพอสมควรแล้ว  จึงนำมายังพระราชวัง  พระราชธิดาพระเจ้าฟาโรห์ทรงรับไว้เป็นบุตร

 

บุญธรรม  ให้เล่าเรียนศิลปวิทยาต่างๆ อยู่ภายในพระราชวัง  ต่อมาเมื่อโมเสสโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว  ชอบไปหาพี่น้องชาวอิสราเอลเนืองๆ เมื่อเห็นว่า

 

พี่น้องชาวอิสราเอลได้รับความทารุณลำบากมากเช่นนั้น  ก็เกิดมีความสงสารยิ่งนัก

 

2.      โมเสส   ฝักใฝ่กับชาวอิสราเอลอย่างเปิดเผยเช่นนี้ในที่สุด  ก็ต้องหนีพระอาญาของพระราชาไปอยู่ในประเทศมาติอัมและพักอยู่กับนัก

 

บวชคนหนึ่งชื่อเคโต  เวลานั้นท่านอายุ  40 และอยู่ที่มาติอันนี้อีกหลายปี  ทำกินโดยการเลี้ยงฝูงสัตว์

 

3.      วันหนึ่ง  โมเสส  ขณะที่กำลังเลี้ยงสัตว์อยู่  ได้แลเห็นพุ่มไม้ที่ลูกเป็นไฟตั้งนานโดยไม่รู้จักหมดจึงเข้าไปดู  ทันใดนั้น ได้ยินเสียงของ

 

พระผู้เป็นเจ้าแว่วออกมา  โมเสสจึงกราบลงถวายนมัสการพระองค์  และได้ยินพระองค์รับสั่งให้ตนนำชาติอิสราเอลออกจากประเทศอียิปต์ไป

 

อยู่ในประเทศคานาอัน  ให้สมกับที่พระองค์เคยตรัสสัญญาไว้กับมหาบุรุษอับราฮัม

 

 

4.       โมเสส  ทูลพระองค์ว่า  เกรงกลัวคนทั้งปวงจะไม่เชื่อถือ  แต่พระองค์ตรัสสัญญาว่าจะทรงโปรดให้มีอำนาจทำอัศจรรย์ต่างๆ ได้

 

: ฉะนั้นโมเสสพร้อมกับพี่ชายชื่อ อาโรน จึงไปหาชาวอิสราเอล และเล่าเรื่องคำสั่งของพระผู้เป็นเจ้าให้ฟัง  ชาวอิสราเอลเห็นโมเสสทำมหัศจรรย์

 

ต่างๆ จึงเชื่อว่าเป็นผู้ถือโอวาสของพระผู้เป็นเจ้า  และยอมรับท่านในฐานะเป็นผู้นำ 

 

โมเสสต่อเบื้องพระพักต์พระเจ้าฟาโรห์

 

1.      โมเสส กับ อาโรน ได้เข้าเฝ้าพระเจ้าฟาโรห์กษัตริย์แห่งประเทศอียิปต์  และทูลว่า พระผู้เป็นเจ้ารับสั่งพระองค์ให้ปล่อยชาติอิสราเอล

 

ออกจากประเทศอียิปต์  เพื่อกลับสู่ดินแดนเดิมของบรรพบุรุษ  พระราชาทรงย้อนตอบว่า “ใครจะมาเป็นเจ้าข้า”

 

2.      โมเสส  ได้แสดงให้พระราชาเห็นว่าตนเป็นผู้ถือพระโองการของพระผู้เป็นเจ้าจริงๆ จึงได้ทำมหัศจรรย์ต่างๆ แต่พระราชาไม่ยอม

 

ปล่อยชาติอิสราเอลไป  โมเสสจึงทำมหัศจรรย์ให้พระราชากลัว

 

3.      โมเสส ทำให้น้ำในแม่น้ำกลายเป็นเลือด  ต่อมาก็ทำให้กบและแมลงรบกวนคนทั่วไป  ให้เกิดโรค  ทำให้สัตว์ตายเป็นอันมาก  ให้ลูก

เห็บตกลงมาทำความเสียหายแก่พืชทุกชนิด  ให้เกิดความมืดปกคลุมประเทศเป็นเวลาสามวันสามคืน   แต่พระราชาก็ยังไม่ยอมอนุโลมตาม

คำร้องขอของโมเสส

                    โมเสส เห็นว่าพระราชายังทรงดื้อ  ไม่ยอมปล่อยให้ชาติอิสราเอลไป  จึงทูลว่า


 “ เพราะเหตุที่พระองค์ขัดขืนพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า   พระผู้เป็นเจ้าจะทรงบันดาลให้บุตรชายหัวปีทุกๆ ครอบครัวตายในคืนเดียวกัน”
 

ชาวอิสราเอลสมโภชปัสกาครั้งแรก

 

1.      ต่อมา  โมเสสกับอาโรนไปหาชาวอิสราเอล  และพูดว่า  “วันที่ 14 เดือนนี้  ตอนเย็น  ให้ทุกครอบครัวฆ่าแกะที่ขาวสะอาดครัวละ

 

หนึ่งตัว  และห้ามหักกระดูก เอาเลือดแกะทาไว้ตามขอบประตู  และให้ยืนกินเนื้อแกะย่างแล้ว ทั้งนี้ เพื่อมิให้ความตายเข้ามาในบ้านของครอบ

 

ครัวนั้น” ลูกแกะในเรื่องนี้  เป็นที่หมายถึงองค์พระผู้ไถ่  

 

2.      ในวันที่ 14 ชาวอิสราเอลทั้งหลายปฏิบัติตามที่โมเสสได้สั่งทุกประการ  เวลากลางคืนวันนั้น  บุตรชายหัวปีของชาวอียิปต์ตายหมด

 

แม้แต่พระโอรสของพระราชาเองก็ตาย  ทั่วพระนครได้ยินแต่เสียงคร่ำครวญร้องไห้  พระราชาจึงสั่งให้เรียกโมเสสและอาโรนมาเข้าเฝ้า และ

 

ทรงรับสั่งว่า “ เจ้านำชาติอิสราเอลออกจากประเทศนี้เถิด”

 

3.      ชาวอิสราเอล  ต่างรวบรวมข้าวของและรีบออกไปโดยโมเสสเป็นผู้นำ  โมเสสสั่งมหาชนทั้งปวงว่า “วันนี้เป็นวันปัสกา  ซึ่งต่อไป

 

ต้องฉลองทุกปี  เพื่อเป็นที่ระลึกถึงวันนี้ที่พระผู้เป็นเจ้าทรงช่วยชาติอิสราเอลซึ่งตกเป็นทาสให้กลับแป็นไท”

 

4.      โมเสส  เป็นผู้นำชาวอิสราเอลทั้งปวง  และพระผู้เป็นเจ้าทรงโปรดนำทางเอง  คือเวลากลางวันทรงโปรดให้มีเมฆลอยไปข้างหน้าบัง

แสงอาทิตย์ให้ร่มเย็น   และเวลากลางคืนให้มีไฟดวงหนึ่งลอยไปข้างหน้าเมฆ  เมื่อดวงไฟหยุดที่ใด  ชาวอิสราเอลก็หยุดพักที่นั่น  และ
 

เคลื่อนต่อไปเมื่อไร  ชาวอิสราเอลก็ออกเดินทางต่อไปเมื่อนั้น

 

                                                                                                                                           p4  อ่านหน้าต่อไป...คลิกที่นี่