ชาวอิสราเอลข้ามทะเลแดง
1. ต่อมา พระเจ้าฟาโรห์เสียพระทัย ที่ได้ปล่อยให้ชาวอิสราเอลไป จึงทรงยกกองทัพออกติดตาม ชาวอิสราเอลเห็นทหารอียิปต์ ไล่ตามมาเช่นนั้นก็ตกใจเสียขวัญพากันวอนขอพระผู้เป็นเจ้าให้ทรงช่วยด้วย โมเสสจึงปลอบว่า อย่ากลัวเลยพระผู้เป็นเจ้า พระองค์จะทรงปราบศัตรูของเราให้ย่อยยับ
2. ทันใดนั้น ก็มีเมฆก้อนหนึ่งมาปรากฏกั้นอยู่ระหว่างชาวอิสราเอล กับชาวอียิปต์ ข้างฝ่ายอียิปต์จึงไม่เห็นชาวอิสราเอล แต่ข้างชาวอิสราเอลสว่างดีจึงเดินทางต่อไปได้สะดวก
3. เมื่อถึงทะเลแดง โมเสสใช้ไม้เท้าแตะผิวน้ำ ทันใดนั้นน้ำในทะเลก็แยกออกเป็นกำแพง ทำให้ชาวอิสราเอลเดินต่อไปได้ฝ่ายชาวอียิปต์ เมื่อเห็นน้ำแห้งเป็นทางเดิน จึงรีบตามลงไป แต่เมื่อชาวอิสราเอลข้ามฝั่งได้แล้ว โมเสสเอาไม้เท้าแตะผิวน้ำอีก น้ำก็ปิดทางกลบทหารอียิปต์จมน้ำตายหมดสิ้น
4. มหาชนเห็นพระผู้เป็นเจ้าทรงโปรดช่วยเช่นนั้น ก็พากันเกรงขามพระองค์ และมีความเคารพยำเกรงผู้ถือพระโอวาทของพระองค์ คือโมเสสกับอาโรนด้วย
เที่ยวระเหระหนในที่เปลี่ยว
1. เมื่อชาวอิสราเอลข้ามทะเลแดงแล้ว เสบียงอาหารก็ขัดสนลง ประชาชนจึงบ่นร้องทุกข์ต่อโมเสสว่าเป็นผู้นำเขามาตายในที่เปลี่ยว โมเสสจึงอธิฐานภาวนาขอต่อพระผู้เป็นเจ้า และพระผู้เป็นเจ้า ทรงโปรดให้อาหารตกลงมาทุกๆ คืน ตลอดเวลา 40 ปี ที่ชาวอิสราเอลท่องเที่ยว ระเห ระหนไปในที่เปลี่ยว อาหรที่ตกลงมานี้เขาเรียกว่า มันนา มีรสเหมือนแป้งปนน้ำผึ้ง อาหารมันนานี้เป็นตัวอย่างแห่งศีลมหาสนิท ซึ่งเป็นอาหารแท้แห่งสวรรค์เพื่อเลี้ยงวิญญาณของคริสต์ชน
2. วันหนึ่ง ชาวอิสราเอลหาน้ำกินไม่ได้ พระผู้เป็นเจ้าจึงสั่งให้โมเสสเอาไม้เท้าเคาะศิลาเชิงผา ทำให้เกิดมีน้ำไหลออกมาทุกคนพากันดื่มด้วยความยินดี
3. ในเดือนที่สาม ชาวอิสราเอลพากันเดินไปถึงเชิงเขาสิไน โมเสสเตือนมหาชนให้เตรียมตัวรับพระบัญญัติ ต่อมาวันที่สามเกิดมีฟ้าร้องและฟ้าผ่า มีเมฆหนาปกคลุมยอดเขาสิไน ประกอบด้วยทั้งควันเปลวเพลิงและได้ยินเสียงดังขึ้น เป็นเหตุให้มหาชน พากันตระหนกตกใจ เวลานั้น พระผู้เป็นเจ้าทรงประกาศ พระบัญญัติ 10 ประการ ของพระองค์
4. พระผู้เป็นเจ้า ทรงเรียกโมเสสให้ขึ้นไปบนภูเขาสิไนและทรงมอบพระบัญญัติจารึกไว้บนแผ่นศิลาสองแผ่น โมเสสค้างอยู่บนยอดภูเขาประมาณสี่สิบวัน ประชาชนชาวอิสราเอล เห็นโมเสสค้างอยู่บนภูเขาเป็นเวลาช้านาน และเข้าใจว่าคงถูกฟ้าผ่าตายเสียแล้ว จึงเรี่ยรายทองคำมาหล่อเป็นรูปลูกวัว ตามธรรมเนียมคนต่างศาสนาทั่ว ๆ ไปในยุคนั้น
โมเสสลงจากภูเขา
โดยมีรัศมีพุ่งออกมาจากศีรษะครั้นเห็นความลุ่มหลงของประชาชนที่กำลังนมัสการรูป
ลูกวัว ก็มีความโกรธเป็นกำลังจึงเอาศิลาจารึก พระบัญญัตินั้นฟาดลงบนรูป
ลูกวัวศิลาจารึกพระบัญญัติแตกกระจาย
เป็นที่หมายถึงว่าประชาชนได้ผิดต่อพระบัญญัติอย่างหนัก
โมเสสได้ขึ้นไปบนภูเขาเป็นครั้งที่สอง และพระผู้เป็นเจ้า
ทรงมอบพระบัญญัติเป็นครั้งที่สองจารึกไว้บนแผ่นศิลาสองแผ่น มีคำจารึกไว้ว่า
1. จงกราบไหว้บูชาพระผู้เป็นเจ้าผู้เดียวของข้า
2. จง อย่า ออก พระ นาม พระผู้เป็นเจ้าอย่างไม่เหมาะสม
3. วันพระเจ้า อย่าลืมฉลองให้เป็นวันศักดิ์สิทธิ์
4. จงเคารพยำเกรงบิดามารดา
5. อย่าฆ่าคน
6. อย่าทำอุลามก
7. อย่าขโมย
8. อย่าใส่ความนินทา
9. อย่าปลงใจในความอุลามก
10. อย่ามักได้ทรัพย์สินของเขา
พลับพลาอันศักดิ์สิทธิ์
ตามที่พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสสั่งโมเสสไว้แล้ว โมเสสจึงได้สร้างพลับพลาขึ้นหลังหนึ่ง เป็นปูชนียสถานที่สร้างเป็นการชั่วคราวจนกว่าจะย้ายไปอยู่ดินแดนที่พระองค์ทรงสัญญา และปูชนียสถานนี้ ต่อไปจะใช้เป็นแบบสร้างวิหารที่กรุงเยรูซาเล็ม พลับพลานี้แบ่งห้องในและห้องนอก ที่ห้องใน เป็นที่ตั้งหีบพระบัญญัติบรรจุศิลาจารึกพระบัญญัติสองแผ่น กับไม้เท้าอาโรนและจานบรรจุอาหารมันนา พระมหาสมณะ มีสิทธิ์เข้าห้องนี้ได้ปีละหนึ่งหนเท่านั้น ที่หีบพระธรรมนั้น มีเมฆส่องแสงปกคลุม อยู่เสมอ เป็นที่แสดงว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงสถิตอยู่กับพสกนิกรของพระองค์
ห้องนอก ก็เรียกว่าเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ ในห้องนี้ มี
1. โต๊ะสำหรับวางขนมปัง สินสองก้อน ถวายแต่พระเจ้าในนามตระกูลอิสราเอลสิบสองตระกูล ต้องถวายขนมปังโดยเปลี่ยนใหม่สัปดาห์ละครั้ง และโดยเฉพาะแต่พระสงฆ์เท่านั้น ที่รับขนมปังนั้นไปฉันได้
2. ชวาลาทองคำมีกิ่งเจ็ดกิ่ง สำหรับติดไฟตลอดรุ่ง
3. แท่นสำหรับเผ่ากำยานและเครื่องหอม เพื่อถวายสักการะบูชาทุกวัน
ในสนามหน้าพลับพลา มี
1. ถังทองเหลืองใส่น้ำ สำหรับพระสงฆ์ใช้ชำระกายก่อนที่จะเข้าไปในที่ศักดิ์สิทธิ์
2.พระแท่น สำหรับเผาเครื่องสักการะเป็นยัญบูชา
ประชาชนทั้งปวงถวายนมัสการนอกพลับพลา แต่อยู่ภายในรั้วที่กั้นรอบบริเวณพลับพลานั้น
พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสสัญญาว่าจะช่วยบำรุงชาวอิสราเอลฝ่ายชาวอิสราเอล ก็ได้ถวายสัตย์ปฎิญาณต่อพระผู้เป็นเจ้าว่าจะปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระองค์ เพื่อเป็นที่มั่นคงในสัตย์สัญญาโมเสส จึงเอาเลือดสัตว์ที่นำมาถวายเป็นเครื่องบูชานั้น ประพรมชาวอิสราเอล
หีบพระธรรม เป็นเครื่องเตือนให้ชาวอิสราเอลระลึกถึงคำสัตย์สัญญาที่ได้ให้ไว้ต่อพระเจ้า และยังหมายถึงตู้ศีลบนพระแท่น ซึ่งบรรจุพระสัญญาและพระบัญญัติ เมฆที่ส่องแสงลงมานั้นเป็นที่เตือนให้จำไว้ว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงสถิตอยู่กับตนเสมอ อาหารมันนา เตือนให้สำนึกว่าพระองค์ทรงเลี้ยงตนอยู่ทุกวัน และยังหมายถึงศีลมหาสนิท ซึ่งพระมหาไถ่จะได้ตั้งไว้วันข้างหน้าเพื่อชุบเลี้ยงวิญญาณของเรา ไม้เท้าของอาโรนเป็นเครื่องแสดงว่าพระองค์เอง ทรงตั้งพระสงฆ์ และพระบัญญัติ เตือนให้ระลึกถึงคำสัญญาว่าจะเชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้า ตลอดไป
ชาวอิสราเอลเข้ายึดประเทศปาเลสไตน์
1. เมื่อชาวอิสราเอล ได้พเนจรเวียนอยู่ในทะเลทรายเป็นเวลา 40 ปีแล้ว ก็ไปถึงประเทศปาเลสไตน์ ซึ่งเป็นประเทศที่พระผู้เป็นเจ้าตรัสสัญญาว่าจะประทานให้ แต่โมเสสผู้เป็นหัวหน้าถึงแก่มรณะบนภูเขาเนโป ก่อนที่ชาวอิสราเอลจะยกเข้าดินแดนนี้โยสุเว รับหน้าที่เป็นหัวหน้าแทนโมเสส ยกพลเข้าโจมตีชาวเมืองทั่วไปที่อยู่ดินแดนนั้นด้วยการมีชัย แต่ชาวอิสราเอลไม่มีกำลังที่จะตีเมืองเยริโกให้ได้ จึงมีท้อใจ แต่ว่าพระผู้เป็นเจ้า ทรงคุ้มครองช่วยอย่างมหัศจรรย์ดังต่อไปนี้
2. โยสุเวหัวหน้าชาวอิสราเอล ได้จัดให้บรรดาพระสงฆ์เดินแห่รอบที่เจ็ด ตามที่พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งไว้แล้ว กำแพงเมืองพังลงทันที ชาวอิสราเอลจึงตีเมืองได้สะดวก ได้เข้าปกครองประเทศปาเลสไตน์ และจัดการแบ่งเป็นเขตแคว้นดินแดนให้แก่ชาวอิสราเอลทั้งสิบสองตระกูล อยู่ตั้งภูมิลำเนาถาวรตลอดมา
สะมูเอล
1. สะมูเอล เป็นบุตรของหญิงใจศรัทธทาคนหนี่ง ชื่อ อันนา แต่ก่อน อันนนาไม่มีบุตร นางจึงได้อธิฐานวอนขอจากพระผู้เป็นเจ้า เป็นเวลาหลายปี และพระองค์ทรงฟังคำภาวนาของนางโดยโปรดประทานให้มีบุตรคนหนึ่งเป็นชาย จึงตั้งชื่อว่า สะมูเอล
2. เมื่อสะมูเอล มีอายุสามขวบ มารดาพาไปฝากอยู่กับพระสงฆ์ในอาราม ถวายตัวแด่พระเจ้าเพื่อแก้บน
สมัยเมื่อสะมูเอลยังเป็นเด็ก คืนวันหนึ่ง ขณะที่เขากำลังนอนหลับสนิท พระผู้เป็นเจ้า ทรงปลุก เรียกว่า สะมูเอล ๆ หนูสะมูเอล ผลุนผลันลุกขึ้นทันทีตรงไปหาพระสงฆ์ผู้ใหญ่ พลางคำนับ และเรียนว่า พระคุณเจ้า ลูกมาแล้ว
ใครเรียกหนูมาในเวลาดึกดื่นป่านนี้ เราไม่ได้เรียกเจ้าดอก บางที หนูฝันไปกระมัง จงกลับไปนอนเสียเถิด
สะมูเอลก็กลับไป และขณะที่กำลังงีบหลับ ก็ได้ยินเสียงแว่วๆ เรียกว่า สะมูเอล ! สะมูเอล ! สะมูเอลตกใจ ลุกขึ้นไปหาพระสงฆ์ผู้ใหญ่อีกครั้งหนึ่ง พระสงฆ์ผู้ใหญ่จึงแปลกใจเป็นกำลัง
เราไม่ได้เรียกเจ้าเลย ไปนอนเสียเถิด และถ้าได้ยินเสียงปลุกเรียกอีก จงลุกขึ้นนมัสการพระผู้เป็นเจ้า พลางกราบทูลว่า : ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ลูกพร้อมอยู่แล้ว ขอพระองค์ได้ทรงโปรดรับสั่งใช้ลูกเถิด
ในการปลุกเรียกครั้งสุดท้าย พระผู้เป็นเจ้า ได้ทรงแสดงข้อบกพร่องของคนในครอบครัวของพระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ และทรงตักเตือนสะมูเอลให้ประพฤติตนเป็นคนดี เพื่อวันข้างหน้าจะได้เป็นผู้นำชาติอิสราเอล
3.และเมื่อสะมูเอลเจริญวัยขึ้นพอสมควรแล้ว พระเป็นเจ้าได้ตรัสแนะนำสั่งสอน จนเขาสามารถประกาศแก่ชาวอิสราเอลทั้งหลายว่า พระเจ้าทรงเลือกผมเป็นผู้ประกาศพระโอวาท ท่านดำเนินการปกครองชาวอิสราเอลอยู่หลายปี และได้นำไพร่พลออกรบชนะพวกพีลิสตินส์ซึ่งเป็นศัตรูร้ายกาจของพวกอิสราเอล
4. เมื่อสะมูเอลมีอายุมากแล้ว พลเมืองขอให้ตั้งกษัตริย์ปกครองแผ่นดินเช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ สะเอลปรารถนาจะให้มีแต่พระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ของชนชาติอิสราเอล อย่างไรก็ดี เมื่อสะมูเอลได้อธิษฐานภาวนาวอนขอต่อพระผู้เป็นเจ้าทรงมอบกษัตริย์แก่ชาวอิสราเอล พระองค์ได้ตรัสว่า พรุ่งนี้ตรงกับเวลานี้ เราจะส่งคนคนหนึ่งมาหาเจ้า เจ้าจงแต่ตั้งเขาผู้นั้นให้เป็นกษัตริย์
มีคนหนึ่งชื่อสะอุลแห่ง ตระกูลเบนยามิน ได้ทำฝูงลาหายไป และกำลังเดินตามทั่วบริเวณตลอดวันตลอดคืน แต่ไม่พบ พอรุ่งขึ้นเช้า สะอุดได้เข้าไปหาสะมุเอลผู้พยากรณ์ เพื่อถามถึงเรื่องลาที่หายไป สะมูเอลซึ่งกำลังคอยอยู่ตามคำสั่ง ของพระผู้เป็นเจ้าเห็นสะอุดเป็นคนร่างใหญ่แข็งแรง เหมาะสมที่พระผู้เป็นเจ้าทรงเลือกให้เป็นกษัตริย์ จึงประกอบพิธีอภิเษกสะอุด ให้เป็นกษัตริย์ต่อหน้าประชาราษฎร์ทั้งปวง
กษัตริย์สะอุดและกษัตริย์ดาวิด
1. กษัตริย์สะอุด ครองราชย์สมบัติอยู่ได้ไม่กี่ปี ก็ปรากฏว่าไม่เป็นที่พอพระทัยของพระผู้เป็นเจ้า เพราะได้ละเมิดต่อพระโองการของพระองค์ในข้อหนัก พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสสั่งสะมูเอล ให้ทำพิธีเจิมชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อ ดาวิด ผู้สืบสายโลหิตมาแต่ตระกูลยูดา เพื่อจะได้ปกครองชาวอิสราเอลสืบไป ในกาลต่อมา ดาวิด ได้แสดงอภินิหารเป็นที่เลื่องลือ โดยได้ฆ่าชายร่างยักษ์ชาวพีลิสตินส์คนหนึ่งชื่อ โคลิอัธ
2. ชนชาติอิสราเอล ถูกพวกชนชาติพีลิสตินส์เพื่อนบ้านใกล้เคียงมาคอยรุกรานรังแกอยู่เสมอ และอยู่มาวันหนึ่ง ชาวพีลิสตินส์ยกทัพมาประชิดติดเมืองอิสราเอล ในการรุกรานครั้งนี้ชาวพีลิสตินส์ได้นำทหารร่างใหญ่ปานยักษ์ ชื่อ โอลิอัธ ออกมาท้าทายนั้น โคลิอัธยังกล่าวคำสบประมาทต่อพระผู้เป็นเจ้าของชนชาติอิสราเอลทั้งวันทั้งคืน และในบรรดาทหารแห่งชาติอิสราเอลไม่มีใครกล้าต่อสู้ตัวต่อตัวกับโคลิอัธคนนี้ได้ หนุ่มดาวิด ได้ทราบ เรื่องนี้แล้วก็นึกเคืองแค้นยิ่งนัก ที่คนต่างศาสนามาดูถูกพระผู้เป็นเจ้าเที่ยงแท้ จึงขอเข้าเฝ้าพระเจ้าสะอุด และรับอาสาสมัครออกต่อสู้ตัวต่อตัวกับโคลิอัธ
3. โคลิอัธบุรุษร่างยักษ์ ยืนสวมเกราะ มือถือดาบสองคมเป็นสง่า ฝ่ายหนุ่มดาวิด มีหนังสติ๊กเส้นหนึ่ง กับหินห้าก้อนแต่พอโคลิอัธเห็นผู้รับท้าสู้ตัวต่อตัวก็หัวเราะเยาะ ส่วนหนุ่มดาวิดได้สำรวมใจอธิฐานภาวนา วอนขอกำลังจากผู้เป็นเจ้า แล้วจึงเอาก้อนหินก้อนหนึ่งดึงรัดด้วยหนังสติ๊ก หมายที่ศัตรู หินนั้นถูกหน้าผากโคลิอัธโดยแรงถึงกับโคลิอัธล้มลง พลันหนุ่มดาวิดถลันเร่งวิ่งเข้าไปชิงดาบจากมือศัตรูและฟันคอขาดทันที
เหตุนี้ชนชาวอิสราเอลจึงได้ชัยชนะต่อชนชาติพีลิสตินส์และประชาชนพลเมืองแห่งชาติ
อิสราเอล ต่างยกย่องดาวิดตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
4. แต่ ความดีหนุ่มดาวิด กลับเป็นดุจขวากหนามในสายพระเนตรและดวงพระทัยของกษัตริย์สะอุด จำเดิมแต่นั้นมาเพราะดาวิดได้รับความนิยมจากประชาชนมาก สะอุดจึงหาโอกาสที่จะทำลายชีวิตของดาวิดอยู่เสมอ ในทีสุด สะอุดแพ้ต่อพวกพีลิสตินส์ถึงกับปลงพระชนม์พระองค์เอง ดาวิดจึงขึ้นครองราชสมบัติทรงปกครองชนชาติอิสราเอลเป็นเวลา 40 ปี ดาวิดทรงเป็นกษัตริย์ที่ดี มีน้ำพระทัยแกล้วกล้า เป็นที่ไว้วางพระทัยของพระเจ้า ถึงกับตรัสสัญญาว่าพระมหาไถ่จะบังเกิดมาในตระกูลของดาวิด
กษัตริย์ดาวิด มีบุญญาอภินิหาร สามารถตีดินแดนของชาวปาเลสไตน์คืนมาได้หมดทั้งประเทศ และทรงจัดตั้งกรุงเยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวง
5. ใช่แต่เท่านั้น กษัตริย์ดาวิด ยังทรงพระปรีชาสามารถในเชิงกวี โดยทรงนิพนธ์บทกลอนเป็นธรรมบรรณาการหลายสิบบท พวกสัตบุรุษพอใจกันอ่านบทซัลมุสเหล่านั้นสืบต่อมาจนทุกวันนี้ เพื่ออบรมสติปัญญา ปลุกใจในยามทุกข์ยาก และเพื่อแสดงความเชื่อและความเลื่อมใสในพระเจ้า ดาวิดทรงเคยทำนายไว้ว่า พระมหาไถ่ผู้เป็นพระมาหากษัตริย์ทรงปกครองนานาประเทศจะประทับบนไม้กางเขนต่างพระราชบัลลังก์ จึงต้องนับว่ากษัตริย์ดาวิดเป็นผู้ประกาศพระโอวาทผู้หนึ่งที่ได้ทำนายถึงพระมหาไถ่ ด้วย
p5 อ่านหน้าต่อไป.....คลิกที่นี่